Review : Samsung Galaxy S10 | S10+ นี่แหละ Galaxy S ที่เรารอคอยมากว่า 10 ปี !!

Review : Samsung Galaxy S10 | S10+ นี่แหละ Galaxy S
ที่เรารอคอยมากว่า 10 ปี !!
สวัสดีเพื่อน ๆ TechXcite ทุกท่าน กลับมาพบกับบทความรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ กับ เฮียแม็พ. TechXcite อีกเช่นเคย วันนี้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนเรีอธงรุ่นล่าสุดของ Samsung อย่าง Galaxy S10 และ S10+ นั่นเอง รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของ Galaxy S Series ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ทาง Samsung ใส่มาให้ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบใหม่ Dynamic Amoled, กล้องหลัง 3 ตัวคุณภาพระดับมืออาชีพ, ระบบสแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic บนหน้าจอ รวมถึงสเปคภายในที่จัดเต็มกว่าที่แล้ว ๆ มา แค่นี้ก็เชื่อว่าหลายคนคงสนใจแล้วใช่ไหมล่ะ งั้นเรามาอ่านรีวิวฉบับเต็มของ Galaxy S10 และ S10+ ไปพร้อม ๆ กันเลยดีว่าครับ :D
ดีไซน์ใหม่ ที่ดูใหม่ขึ้นจริง ๆ
เริ่มแรกเรามาพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกกันก่อนเลย สำหรับ Galaxy S10 และ S10+ จะมาในดีไซน์แบบใหม่ ที่ดูไฉไลขึ้นเยอะ อย่างแรกที่เราสังเกตได้เลยก็คือหน้าจอที่ดูเต็มตามากขึ้น แทบไม่มีขอบบนล่างมาเป็นส่วนเกินแล้ว ด้วยเทคโนโลยีหน้าจอแบบใหม่ที่ทาง Samsung พัฒนายัดกล้องหน้าลงไปนบหน้าจอ Amoled ได้อย่างเรียบเนียน ซึ่งก็ถือเป็นเจ้าแรกของโลกเลยที่ทำหน้าจอรูบนจอ Amoled ได้ ตรงนี้ Samsung ใช้ชื่อเรียกเป็นของตัวเองว่าหน้าจอ Infinity O นั่นเองครับ
ตัวหน้าจอแสดงผลได้เต็มตามาก ๆ ใช้พื้นที่หน้าจอกับตัวเครื่องไปได้เยอะสุด ๆ อัตราส่วนหน้าจอรอบนี้มีการปรับให้ยาวขึ้นจากเดิมอีกนิด จากที่ใช้บนรุ่นก่อน 18.5:9 มาเป็น 19:9 แทน ในเรื่องของการแสดงผลไม่ต้องห่วงเลย Samsung เขาเด่นเรื่องนี้มาก ๆ อยู่แล้ว หน้าจอของ Galaxy S10 และ S10+ นั้นใช้ชนิดหน้าจอแบบใหม่เรียกว่า Dynamic Amoled ที่ทาง Samsung อัปเกรดขึ้นมาให้มีค่า Contrast Ratio สูงถึง 1:2,000,000 เพิ่มมิติของมุมมองภาพได้สูงสุด ๆ
แถมความแม่นยำของสียังเป๊ะกว่าที่เคย หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นก็ยังรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ เป็นรุ่นแรกของโลกอีกด้วย อื้อหือออ !! เรื่องหน้าจอต้องยอมเขาจริง ๆ แหละครับ ทั้ง 2 รุ่นยังแบ่งขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันอยู่เช่นเคย โดย Galaxy S10 รุ่นปกติมาพร้อมขนาดหน้าจอ 6.1” ส่วน S10+ อยู่ที่ 6.4” มาพร้อมความละเอียดสูงสุดที่ QHD+ (3040 x 1440 พิกเซล)
กระจกกันรอยบนหน้าจอจะใช้เป็น Gorilla Glass 6 ตัวล่าสุดมาเลย คงทนแน่นอน แต่ถ้าใครกลัวว่าจะเป็นรอย ไม่มั่นใจก็ไม่เป็นไร เพราะทาง Samsung เขาก็มีติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่องแล้วนะครับ หายห่วงได้ !
ขอบหน้าจอด้านบนเรียกว่าเลื่อนขึ้นไปแบบสุด ๆ เลย มีเว้นพื้นที่ให้กับลำโพงสนทนานิดหน่อย รวมถึงซ่อนพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ไว้แถว ๆ นี้ด้วยย ตัวกล้องหน้าซ่อนอยู่บนหน้าจอเลย บนรุ่นนี้รุ่นปกติและรุ่น + แตกต่างกันที่กล้องหน้า ไม่ใช่กล้องหลังแล้ว โดยกล้องหน้าของ S10 ปกติจะมีตัวเดียว ส่วน S10+ จะให้มา  2 ตัวสังเกตง่าย ๆ ว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหนนอกจากขนาดก็กล้องหน้านี่ละเนอะ
ขอบหน้าจอด้านล่างก็เห็นว่ามีขนาดที่เล็กลงชัดเจน ปุ่มกดต่าง ๆ ไปอยู่บนจอเช่นเดียวกับรุ่นก่อน แต่ที่น่าสนใจกว่าเดิมก็คือรอบนี้ทาง Samsung ใส่ระบบสแกนลายนิ้วมือเข้ามาบนหน้าจอเรียบร้อยแล้ว แถมยังเป็นรุ่นแรกของโลกด้วยที่เป็นระบบ Ultrasonic อีกด้วยนะ (ส่วนการใช้งานเดี๋ยวอธิบายเพิ่มเติมว่ามันดีกว่าแบบปกติยังไงเนอะ)
กรอบเครื่องของ Galaxy S10 Series รอบนี้กลับมาใช้เป็นแบบมันวาวแทนหลังจากที่รุ่นก่อนเป็นแบบด้าน ๆ ตัดขอบด้วย Diamond Cut ส่วนตัวแอบเสียดายที่กลับมาใช้แบบนี้เพราะมันดูเลอะง่าย และสัมผัสไม่เนียนมือเท่ากับแบบเก่าน่ะนะ
ปุ่มกดต่าง ๆ ของตัวเครื่องวางไว้ที่ฝั่งเดิมทั้งหมดแต่ตำแหน่งมีการขยับขึ้นไปเล็กน้อย อย่างตัวปุ่ม Power อยู่ที่ฝั่งขวามือ แต่เลื่อนขึ้นไปพอสมควร
เท่าที่ลองใช้ผมว่าแอบกดได้ยากกว่ารุ่นก่อนพอสมควร เพราะปุ่มเลื่อนขึ้นไปสูงมาก ใครที่เคยใช้ S9 หรือ Note 9 มาต้องปรับตัวกันเยอะเลยล่ะ
ส่วนฝั่งซ้ายมือก็ยังไม่เขยิบไปไหนมาก มีปุ่มเพิ่ม - ลดเสียง เป็นปุ่มยาว ๆ และปุ่ม Bixby ก็ยังคงติดมาเหมือนเคย ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ใช้กันแล้วเท่าไหร่ก็ตาม
ด้านบนตัวเครื่องจะมีช่องใส่ซิมการ์ด โดยถาดซิมจะเป็นแบบไฮบริด เลือกเอาระหว่างใส่ 1 ซิม 1 เม็มหรือว่าจะเป็นแบบ 2 ซิมไปเลยครับ
ด้านล่างของตัวเครื่องมีพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบเหมือนเดิม ถึงแม้หลายรุ่นจะพยายามตัดเอาช่องหูฟัง 3.5 มม. ออกไปหมดแล้ว แต่บน S10 ก็ยังให้มาอยู่นะ, รวมถึงพอร์ตการเชื่อมต่อยังเป็น USB Type-C วางอยู่ตรงกลาง และลำโพงหลักของตัวเครื่องอยู่ที่มุมขวานี้ด้วยครับ
พลิกกลับมาดูที่ฝาหลังของตัวเครื่อง Galaxy S10 และ S10+ ยังคงใช้ดีไซน์แบบกระจกโค้งที่ด้านหลังเช่นเคย ฝาหลังมีความสะท้อนแสงเล่นกับมุมได้อย่างสวยงาม (โดยเฉพาะสีขาว) ตัวกระจกด้านหลังจะใช้วัสดุเป็น Gorilla Glass 5 เพิ่มความแข็งแรงทนต่อรอยขีดข่วนได้ดีระดับนึงเลย
ตำแหน่งของกล้องหลังวางเรียงกันในแนวนอน คุ้น ๆ แบบที่เคยเห็นบน Galaxy Note 8 นี่แหละ แต่รอบนี้กล้องหลังมีมาให้เป็น 3 ตัวแทน และไม่มีตัวสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังวางตำแหน่งแปลก ๆ แล้ว เพราะย้ายไปอยู่บนหน้าจออย่างที่บอกไปครับ
ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่แต่ปรับมาให้สุดขอบมากขึ้น ทำให้ตัวเครื่องไม่ใหญ่ตามถือใช้งานได้อย่างสะดวก และน้ำหนักที่เบาลงมากว่าเดิมมาก บน Galaxy S10 นั้นหนักเพียง 157 กรัม ส่วน S10+ หนักเพียง 175 กรัมเท่านั้นเองครับ
สำหรับดีไซน์โดยรวมของ Galaxy S10 Series ในรอบนี้ต้องบอกเลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมพอสมควร ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คงหนีไม่พ้นหน้าจอที่ใหญ่และเต็มตามากขึ้น เพิ่มคุณภาพของจอให้เป็น Dynamic Amoled แสดงผลสีสันได้สวยและแม่นยำกว่าเคย, บอดี้กระจกหน้าหนังสีสันใหม่ที่ดูสวยแปลกตา (โดยเฉพาะสี Prism White), น้ำหนักที่เบาลงและจับถือได้ง่าย เห็นแว้บแรกก็อยากจะเข้าไปสัมผัสแล้วล่ะครับ
สเปค Samsung Galaxy S10 | S10+
  • หน้าจอ Dynamic Amoled โค้ง 6.1 นิ้ว (S10) | 6.4 นิ้ว (S10+) ความละเอียด QHD+ (19:9)
  • ซีพียู Exynos 9820 Octa-core (8 nm FinFET)
  • จีพียู Mali-G76MP12
  • แรม 8GB/12GB (เฉพาะ S10+)
  • ความจุ 128GB/512GB/1TB (เฉพาะ S10+)
  • รองรับ micro-SD สูงสุด 512GB
  • แบตเตอรี่ 3400mAh (S10) | 4100mAh (S10+)
  • รองรับ Fast Charge
  • กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล f/1.9 (S10)
  • กล้องหน้าคู่ 10 ล้านพิกเซล f/1.9 + 8 ล้านพิกเซล f/2.2 (S10+)
  • กล้องหน้ารองรับวิดีโอ 4K
  • กล้องหลัง 3 ตัว 12 + 12 + 16 ล้านพิกเซล f/1.5, f/2.4 + f/2.4 + f/2.2
  • เลนส์ปกติ + เลนส์ Tele 2X + เลนส์ Ultra Wide
  • กล้องหลังรองรับวิดีโอ 4K 60fps, Super Slow Motion
  • รองระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
  • รองรับระบบสแกนใบหน้า
  • กันน้ำกันฝุ่นด้วยมาตรฐาน IP68
  • รัน Android 9.0 Pie ครอบด้วย One UI
ในส่วนของสเปคภายในรุ่นนี้ต้องบอกเลยว่าอัปเกรดมาจากรุ่นก่อนอยู่พอสมควร เริ่มจากหน่วยประมวลผลตัวใหม่ Exynos 9820 ที่เพิ่มประสิทธิภาพจากเดิมถึง 29% รวมถึงประหยัดพลังงานลงกว่าเดิมถึง 15% เลยทีเดียว แบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นมาของทั้ง 2 รุ่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่แฟน ๆ Galaxy S รอคอยกันอยู่โดยรอบนี้ S10 เพิ่มแบตฯขึ้นมาที่ 3400 mAh ส่วน S10+ จุใจที่ 4100 mAh ครับ
สำหรับรุ่นความจุ S10 จะมีรุ่นเดียววางจำหน่ายคือ 8GB + 128GB ส่วน S10+ มีตั้งแต่ 8GB + 128GB, 8GB + 512GB ไปจนถึงรุ่นท็อปสุด 12GB + 1TB โดยตัวความจุ 512GB กับ 1TB จะเป็นรุ่นที่ใช้วัสดุฝาหลังเป็นเซรามิกนะครับและมีเพียงสีขาวกับดำ
**แต่เครื่องที่เราได้มาทดสอบนั้นเป็นรุ่น 6GB + 128GB นะครับ ในการใช้งานจริงอาจจะความแตกต่างเล็กน้อย**
แรงขึ้นขนาดนี้คะแนนล่ะขนาดไหน ?
ก่อนจะเข้าสู่การใช้งาน เรามาทดสอบประสิทธิภาพผ่านแอป Benchmark ยอดนิยมอย่าง GeekBench 4.0 และ AnTuTu Benchmark กันดีกว่า แต่ก่อนอื่นต้องขอย้ำกันอีกครั้งว่าเครื่องที่เราได้มารีวิวนั้นเป็นเครื่องความจุ 6GB + 128GB นะครับ ประสิทธิภาพโดยรวมอาจลดลงจากตัวขายจริงนิดหน่อย แต่ในการใช้งานทั่วไปไม่ต่างกันมากแน่นอน
โดยคะแนนในส่วนของแอป AnTuTu Benchmark นั้นจะออกมาสูงถึงระดับ 300,000 คะแนนกันไปเลย เท่าที่ทดสอบมา S10 คะแนนออกมาที่ 331129 คะแนน ส่วน S10+ อยู่ที่ 323063 คะแนนครับ
ส่วนแอป GeekBench 4.0 ก็ได้คะแนนที่เร้าใจเช่นกัน เริ่มจาก S10 ได้คะแนน Single-Core ไปที่ 4467 คะแนน Multi-Core อยู่ที่ 9958 คะแนน และ S10+ Single-Core 4480 คะแนน Multi-Core ที่ 10490 คะแนนครับ
ซอฟต์แวร์ตัวใหม่ One UI
ในส่วนของตัวซอฟต์แวร์ภายใน ทั้ง 2 รุ่นก็ได้ Android 9.0 Pie มาตั้งแต่ในกล่องเลย พร้อมกับอัปเกรดเป็น One UI แบบเดียวกับที่เห็นบน Galaxy Note 9 หรือ S9 ที่มีการอัปเดตแล้วนั่นเอง หน้าตา UI ดูเรียบ สบายตามากขึ้น การทำงานใช้งานได้สะดวกในมือเดียว ถึงแม้ว่าหน้าจอจะเต็มมากขึ้นก็ตาม ด้วยการแบ่งสัดส่วนของ UI ในเครื่องที่ให้เราสามารถใช้พื้นที่โซนล่างของหน้าจอได้อย่างถนัดในมือเดียว
หน้าตาของ OneUI ใหม่นี้มีความเรียบมากขึ้น และใส่สีสันให้จัดจ้านกว่าเดิม มีชุด Wallpaper ที่เข้ากับสีตัวเครื่องมาให้แต่แรก รวมทั้งพวก Theme ก็มีให้เลือกดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ทีหลังอีกด้วยครับ
ตัว Wallpaper ดั้งเดิมที่ให้มาตั้งแต่ในเครื่องก็ฉลาดที่จะทำมุมขวาบนให้เป็นสีเข้มกว่าในมุมอื่นนิดหน่อย ทำให้เวลาใช้งานทั่วไปเราไม่ทันได้สังเกตว่ามีกล้องหน้าอยู่บนหน้าจอซะทีเดียว ไม่กวานสายตาเราเกินไปครับ
หน้า Home Screen ของ Galaxy S10 ยังคงมีให้เลือกปรับใช้งานแนวนอนได้ด้วย ด้วยความใหญ่สะใจของจอ เราสามารถตั้งค่าให้แสดงผลตามการถือเครื่องได้ด้วยที่ Settings > Display > Home Screen > Rotate to lanscape mode
ตัว Edge Screen ด้านข้าง ก็ยังคงใส่ฟีเจอร์ทางลัดเข้าแอปมาเหมือนตอน S9 เราสามารถปาดจากแถบด้านข้างเพิ่มมาได้ จะเป็ฯ App Edge เข้าแอป, เบอร์ติดต่อสำคัญ หรือพวกเครื่องเล่นเพลงก็ได้เช่นกันครับ
Always On Display ใหม่ เคาะดูเอาไม่ต้องเปิดตลอดก็ได้ อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่อัปเกรดขึ้นมากับ OneUI ก็คือการเคาะเพียงดูสถานะหน้าจอได้ ปกติ AOD (Always On Display) นั้นจะเปิดหน้าจอพร้อมนาฬิกาค้างไว้อยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจจะไม่ชอบแต่ก็อยากรู้พวกการแจ้งเตือนบางอย่างบ้าง รอบนี้ Samsung เพิ่มทางเลือกให้เราแตะจอหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการเปิดหน้านี้ขึ้นมาแทน ก็ดีเหมือนกันนะ
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้การเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อปลุกจอได้แล้วด้วย หรือจะเป็นการยกเครื่องเพื่อปลุกจอก็ทำได้เช่นกัน เข้าไปตั้งค่ากันได้ที่ Settings > Advanced Features > Motions and Gestures ครับ
Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะติดมาด้วย
ในส่วนของผู้ช่วยอัจฉริยะบน Galaxy S10 หลังจากเริ่มใช้กันมาสักพักใหญ่ Bixby ก็พร้อมใช้งานมากขึ้นด้วย Bixby Home จะอยู่หน้าซ้ายสุดของ Home Screen แสดงพวกฟีดต่างๆที่ระบบจัดมาให้ อาทิ Weather , นาฬิกาปลุก , Step ก้าวเดิน , Gallery หรือฟีดข่าวจากแอปอื่นๆอาทิ Facebook , Twitter เป็นต้นครับ Bixby Voice ก็ใช้งานได้ดีขึ้น แต่แน่นอนยังไม่รองรับภาษาไทย
ปุ่ม Bixby ยังอยู่ แต่เลือกทางลัดอื่นได้แล้ว !
ตัดเข้ามาที่เรื่องปุ่ม Bixby เจ้าปัญหาของหลาย ๆ คนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานกันสักเท่าไหร่ หลายคนก็เลยเลือกที่จะปิดฟังค์ชั่นนี้ทิ้งไปบ้าง เพราะเผลอไปกดโดนซะบ่อย แต่บน Galaxy S10 นี้เราสามารถเลือกปุ่มนี้เป็นทางลัดเข้าแอปอื่นได้แล้ว โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะกดที่ปุ่ม Bixby 1 หรือ 2 ครั้งเพื่อเรียก Bixby สลับกับกด 1 ครั้งหรือ 2 ครั้งเพื่อเรียกแอปอื่นก็ได้เช่นกัน แต่การกดปุ่ม Bixby ค้างไว้จะเป็นการเรียกหน้า Bixby Voice สั่งงานด้วยเสียงเท่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนได้ครับ
ไซส์ที่แตกต่างมีผลแค่ไหนกับการใช้งาน
มาต่อกันถือใช้งานกันบ้าง หลายคนอาจจะกำลังลังเลว่าไซส์ตัวเครื่องที่แตกต่างกันนี้มีผลต่อการใช้งานของเราแค่ไหน ด้วยขนาดหน้าจอที่ห่างกันราว 0.3 นิ้ว กับตัวเครื่องที่ต่างกันนิดหน่อย ส่วนตัวคิดว่ารอบนี้ Samsung ออกแบบมาได้ดีครับ ตัวเครื่องรุ่น + ไม่ได้ใหญ่จนเกินไป เราสามารถถือได้อย่างถนัดในมือเดียว ด้วยความที่หน้าจอชิดขอบมาก ๆ เครื่องไม่ใหญ่เลย แต่ได้จอถึง 6.4 นิ้วแหนะ
พอมาเป็น S10 ปกติที่หน้าจอ 6.1 นิ้ว ยิ่งทำให้เครื่องดูเล็กและเบาไปใหญ่ จับถือใช้งานในมือเดียวได้สบาย ถึงแม้จะไม่สามารถเอื้อมมือไปได้ทั้งหน้าจอก็ตาม สำหรับใครที่เน้นพกพาจริง ๆ ตัว S10 น่าจะตอบโจทย์ได้ดี แต่ตัว S10+ ก็ไม่ได้ลำบากในการพกพากว่าเดิมสักเท่าไหร่
ระบบสแกนลายนิ้วมือใหม่บนหน้าจอแล้ว !
มาเข้าสู่เรื่องระบบรักษาความปลอดภัย อย่างที่บอกว่า Galaxy S10 และ S10+ นั้นมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือแบบใหม่ที่ย้ายเซ็นเซอร์ไปไว้บนหน้าจอเรียบร้อย ซึ่งเซ็นเซอร์ด้านหน้านี้จะเป็นแบบ Ultrasonic แตกต่างจากแบบ Optical ของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ อย่างมาก เพราะจะได้ความแม่นยำที่สูงกว่า รวมถึงใช้งานได้ขณะมือเปียกหรือเลอะได้อีกด้วย อ๊ะ…ลืมบอกไปว่าบน S10 และ S10+ นั้นถือว่าเป็น 2 รุ่นแรกของโลกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ด้วยนะจ๊ะ :D
และจากการทดลองใช้จริง ต้องบอกเลยว่าความแม่นยำนั้นสูงมากจริง ๆ การแตะสแกนทำได้รวดเร็ว เรียกว่ายังไม่ทันได้ลงน้ำหนักมากเท่าไหร่ ก็สแกนติดไปแล้วเรียบร้อย รวมถึงถ้ามือเปียกหรือเลอะมาก็ยังใช้งานได้อย่างดี ตรงนี้ชอบมาก ๆ เลย ถือว่าสลับมาใช้ตำแหน่งสแกนนิ้วที่หน้าจอได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะครับ
สแกนใบหน้าก็มีเด้อ !
แน่นอนว่าสมาร์ทโฟนสมัยนี้จะมีระบบปลดล็อคแค่อย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว บน S10 Series นั้นยังมาพร้อมกับระบบ Face Recognition หรือระบบสแกนใบหน้ามาให้เช่นเคย ใช้ตัวกล้องหน้าในการสแกนรวดเร็วปุบปับ เราสามารถเลือกได้ว่าจะสแกนแล้วปลดล็อคได้เลยหรือว่าจะมองดูหน้าจอก่อนแล้วค่อยสไลด์เพื่อปลดล็อคก็ได้ครับ
กันน้ำกันฝุ่นเหมือนเดิม
ในส่วนของความสามารถกันน้ำกันฝุ่น Galaxy S10 และ S10+ ยังคงให้มาตรฐานความปลอดภัยระดับ IP68 มาให้เช่นเคย คือสามารถลงน้ำได้ที่ความลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที ถ้าเผลอทำน้ำหกใส่ เครื่องหล่นน้ำงี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะพังไปได้ง่าย ๆ ครับ แต่ก็ไม่แนะนำให้นำเครื่องไปเล่นในน้ำอยู่ดีเนอะ เผื่อไว้ในกรณีที่เผลอทำตกน้ำจะดีที่สุด
บันเทิงจัดเต็มด้วยหน้าจอ Dynamic Amoled
มาเข้าเรื่องทาง Samsung ถนัดมากที่สุดอย่างเรื่องหน้าจอ ที่รอบนี้ก็มีการอัปเกรดหน้าจอขึ้นมาอีกขั้นสำหรับ Galaxy S10 และ S10+ จะใช้หน้าจอแบบใหม่ที่เรียกว่า Dynamic Amoled แสดงผลได้อย่างสวยงามกว่าเคย รองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ เป็น 2 รุ่นแรกของโลกอีกด้วย ทำให้เวลาเอามาดูวิดีโอความละเอียดสูงนี่แจ่มมาก ๆ สีสันที่ได้นั้นสวยงามและมิติของภาพคมชัดสุด ๆ
ในส่วนของตัวกล้องหน้าที่ซ่อนอยู่บนจอหลายคนอาจจะคิดว่ามันมีผลต่อการดูหนังรึเปล่า ถ้าเราดูไฟล์วิดีโอที่เป็นอัตราส่วนแบบปกติ (16:9) ตรงนี้ไม่มีผลเลยครับ เพราะตัวคอนเทนต์จะไม่ยาวไปถึงตรงกล้องหน้าแน่นอน แต่ด้วยอัตราส่วนหน้าจอแบบเต็ม ๆ ของรุ่นนี้เนอะ ก็คงอยากจะดูแบบเต็มจอเนาะ เมื่อเราขยายวิดีโอจนเต็มหรือวิดีโอแบบหนัง (21:9) ตัวกล้องก็ถือว่าทับเนื้อหาบางอย่างของวิดีโอไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับรำคาญสายตาครับ แอบดูเนียนตากว่าตอนติ่งบนหน้าจออยู่นิดหน่อยด้วยนะ สรุปคือไม่ได้มีผลเท่าไหร่ครับ
ส่วนการใช้งานในแนวตั้ง อย่างแอบยอดนิยมต่าง ๆ ล่ะ กล้องจะแอบบังอะไรรึเปล่า ถ้าเป็นพวกแอปแนวตั้งต่าง ๆ ก็จะแก้ไขได้ดีด้วยการเพิ่มแถบดำเข้ามาแทนครับ อย่างบน IG Story ในบางรุ่นอาจจะถูกพวกติ่งกลบไปแต่พอเป็นจอรูแบบนี้ก็จะถูกเลื่อนเนื้อหาลงมาแล้วเพิ่มแถบดำเข้าไปแทนครับ ไม่ได้ขัดสายตาเราเท่าไหร่
เสียงก็ดี มีลำโพงคู่ Stereo
นอกจากเรื่องภาพที่ทาง Samsung นั้นถนัดมาก ๆ แล้ว ในส่วนของเสียง Galaxy S10 ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็ยังโดดเด่นด้วยลำโพงคู่ ที่รองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos อีกด้วย ช่วยขับเสียงออกมาได้ดีมาก ๆ เหมาะสมกับชื่อเรือธงจริง ๆ มิติเสียงเวลาดูหนังหรือฟังเพลงก็แจ่มมาก ๆ เลยล่ะ
เล่นเกมก็สะใจ ด้วยขุมพลังใหม่
ในส่วนของการเล่นเกม บอกเลยว่า Galaxy S10 และ S10+ นั้นจัดเต็มมาเช่นเคย ด้วยชิปเซ็ตตัวแรงอย่าง Exynos 9820 ตัวใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมาจากรุ่นเดิมถึง 29% และยังประหยัดพลังงานกว่าเดิมอีกราว ๆ 15% ด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องการเล่นเกมก็คือหายห่วงครับ เกมฮิต ๆ ใน Play Store ตอนนี้เล่นได้ลื่นหมดอย่างแน่นอนครับ
ซึ่งเกมที่เรานำมาทดสอบก็เป็น Asphalt 9 Legends เกมแข่งรถภาพสวยสุดฮิต โดยตัวเกมก็สามารถเล่นได้อย่างดีในเฟรมเรตที่นิ่ง ๆ เลยครับ ภาพกราฟิกและการแสดงผลทำได้อย่างครบถ้วน
ส่วนตัวกล้องรูบนหน้าจอนี้ก็จะโชว์เวลาเล่นเกมแบบเต็ม ๆ ในเกม Asphalt 9 นี้เลย แอบมีบังพวก UI ในเกมอยู่นิดหน่อย อย่างเช่นปุ่มย้อนกลับในหน้าแรก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการเล่นสักเท่าไหร่ เพราะยังเหลือพื้นที่ให้เราได้แตะอยู่นะ
PUBG Mobile เกมฮิตยิงกระจายแบบนี้ ได้ตัวลำโพงคู่เข้ามาช่วยให้เล่นได้อย่างเต็มอรรถรสมากขึ้น ตัวเกมสามารถปรับคุณภาพกราฟิกได้สูงสุดที่ HDR และเฟรมเรตได้ที่ Ultra เลย เล่นกันแบบลื่น ๆ เลยครับ แถมได้ลำโพงคู่มาช่วยให้ได้ยินเสียงของทิศทางปืนอีกด้วย ตรงนี้ช่วยได้เยอะเลยล่ะครับ
เกม PUBG นั้นจะมีการเพิ่มแถบดำเข้ามาเพื่อให้ UI ไม่ถูกบดบังไป ตรงนี้ก็ถือว่าแก้ปัญหาเรื่องของเกมได้ดีครับ การเพิ่มตรงนี้เข้ามาก็ไม่ทำให้รูปแบบของหน้าจอเสียไปเท่าไหร่ ยังคงความรู้สึกแบบเต็มจอได้อยู่
ROV อีกหนึ่งเกมที่ได้หน้าจอใหญ่ ๆ คงสะใจไม่น้อย สำหรับ ROV ก็ไม่ต้องห่วงครับ ปรับกราฟิกได้ที่ระดับสูงสุดอยู่แล้ว ตัวเฟรมเรตในเกมก็วิ่งนิ่ง ๆ ที่ระดับ 56 - 60fps ไม่มีจังหวะหน่วงให้เห็นเลย เอฟเฟกต์และกราฟิกแสดงผลได้สวยครบมาก ๆ ตัวเกมมีการถมขอบดำเพิ่มขึ้นมาแบบเดียวกับเกม PUBG นะครับ กล้องไม่บัง UI หรือแผนที่ในเกมแน่นอน
ในเรื่องประสบการณ์การเล่นเกมทั้ง 2 รุ่น Galaxy S10 และ S10+ ทำได้ดีมากเลย แต่จุดเด่นของ S10+ ที่เหนือกว่าก็คือมาพร้อมระบบ Vapor Chamber ที่ช่วยระบายความร้อนเวลาเล่นเกมได้ดีกว่า ทำให้เล่นเกมได้นานอีกนิด ตรงนี้น่าสนใจครับ
กล้องหลังใหม่ มีมา 3 ตัวแล้ว !
Galaxy S10 และ S10+ มาพร้อมกับกล้องหลังถึง 3 ตัวเพิ่มความสามารถและมุมมองการถ่ายให้ครบต่อการใช้งานมากขึ้น จากเดิมที่มีเพียงเลนส์ Wide ปกติและเลนส์ Tele 2X รอบนี้เพิ่มตัวมุมกว้าง Ultra Wide เพิ่มมาอีกตัวให้ใช้งานได้ครอบคลุมมากขึ้น เก็บได้ทั้งกว้างสุด ๆ ไปจนถึงช่วงซูมจนได้ระยะ โดยสเปคของกล้องหลัง 3 ตัวมีดังนี้ครับ
  • กล้อง Tele 2X ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4, AF, OIS (มุมกว้าง 45 องศา)
  • กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล Dual Aperture f/1.5, f/2.4, AF, OIS (มุมกว้าง 77 องศา)
  • กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.2, Fixed Focus (มุมกว้าง 123 องศา)
การสลับกล้องในระยะต่าง ๆ ก็สามารถกดสลับได้ง่าย ด้วยไอคอนเหนือปุ่มชัตเตอร์ เราสามารถแตะเพื่อสลับไปได้เลย
  • รูปต้นไม้ต้นเดียว = กล้องเทเล 2X
  • รูปต้นไม้ 2 ต้น = กล้อง Wide ตัวหลัก
  • รูปต้นไม้ 3 ต้น = กล้อง Ultra Wide
ตัวอย่างเปรียบเทียบระยะทั้ง 3 ของกล้อง 3 ตัวจาก Galaxy S10+ จะเห็นว่า 3 ช่วงระยะที่ให้มานั้นครอบคลุมต่อการใช้งานทั่วไปได้อย่างดี อยากถ่ายมุมกว้างแบบสุด ๆ ก็เลือกไปที่ Ultra Wide, อยากได้ความคมชัดที่ดีที่สุดไปที่ตัวหลักเลย ส่วนซูมเข้าใกล้ก็ปรับไปที่ 2X ได้เลยครับ
ในส่วนของซอฟต์แวร์ภายในก็มีการอัปเกรดเรื่องของ Scene Optimizer ขึ้นมาจากรุ่นก่อน จากเดิมที่มีเพียง 20 หมวดหมู่ รอบนี้ก็เพิ่มเข้าไปให้เป็น 30 เลยทีเดียว ทำให้การถ่ายภาพต่าง ๆ นั้นง่ายขึ้น ตัวระบบแนะนำซีนค่อนข้างฉลาดและจัดแจงได้ดี เราแค่กด ๆ ถ่าย สวยเสร็จไม่ต้องแต่งเพิ่มแล้วล่ะครับ
รอบนี้มีระบบ Shot Suggestion ที่มี AI เข้ามาช่วยแนะนำมุมภาพให้แม่นยำมากขึ้นไปอีก โดยถ้าเราเล็งภาพแบบเอียง ๆ ตัวระบบจะมีเพิ่มคำแนะนำให้เราบิดมุมให้ตรงกับเส้น หรือเลื่อนมุมกล้องมาให้ตรงกับจุดที่แนะนำไว้ ตรงนี้ถือว่าช่วยได้ดีทีเดียว แต่การคำนวณของกล้องจะใช้เวลาประมาณหนึ่ง ไม่ได้แบบปุ๊บปั๊บทันทีแบบที่คิดน่ะนะ เวลาจะถ่ายก็อาจจะต้องรอนิดหนึ่ง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Auto ของ Galaxy S10+ จะเห็นว่าภาพถ่ายที่ได้นั้นสวยและจบครบโดยไม่ต้องแต่งเพิ่มเลยจริง ๆ ตัว Scene Optimizer ทำงานได้ดีและตกแต่งภาพเพิ่มเติมได้อย่างสวยงาม ตัวฮาร์ดแวร์เองก็ดีมากด้วยกลไกสลับรูรับแสงแบบ Dual Aperture ที่มีทั้ง f/2.4 สำหรับแสงในตอนกลางวัน f/1.5 ที่กว้างมาก ๆ สำหรับถ่ายกลางคืน รวม ๆ แล้วกล้องของ Samsung ก็ยังใช้งานง่ายและไม่ทำให้เราผิดหวังเช่นเคยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Ultra Wide ของ Galaxy S10+ เห็นได้ชัดว่ามุมมองที่กว้างขึ้นนั้นช่วยให้เราได้ภาพที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างดี ใช้ถ่ายวิวหรือที่ที่แคบมาก ๆ โดยไม่ต้องถอดออกมาได้เยอะ ตัวกล้องนั้นคุณภาพสูงสามารภใช้ถ่ายได้ทั้งแสงปกติและแสงน้อย ความบิดเบี้ยวของภาพก็ไม่สูงจนเกินไป ใครที่ชอบถ่ายภาพวิวมุมกว้าง ๆ นี่ถูกใจแน่นอนครับ เก็บครบหมด แต่จุดที่น่าเสียดายก็คือตัวกล้อง Ultra Wide นี้ไม่มีระบบ Autofocus เวลาถ่ายวัตถุใกล้ ๆ จะไม่สามารถแตะโฟกัสได้นะครับ มีระยะความชัดที่แน่นอนอยู่แล้ว
Live Focus โฉมใหม่ใช้งานขึ้น
โหมด Live Focus หรือหน้าชัดหลังเบลอรอบนี้มีการปรับเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และมีลูกเล่นใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย โดยโหมด Live Focus ของ S10 และ S10+ จะใช้กล้องตัวหลัก (Wide) ในการเก็บภาพแทนที่กล้องเทเลแบบตอน S9+ หรือ Note 9 แล้ว ทำให้ภาพที่ได้จะกว้างกว่า และคุณภาพดีกว่าด้วยครับ
ตัวลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นเอฟเฟกต์ของการละลายฉากหลัง จากเดิมจะมีแค่ระดับความเบลอของฉากหลังหรือดีหน่อยก็เป็นเอฟเฟกต์ของ Bokeh เท่านั้น แต่รอบนี้มีเพิ่มเอฟเฟกต์มาอีก 3 แบบคือ Spin, Zoom และ Colour Point ช่วยให้การถ่ายภาพ Portrait นั้นสนุกยิ่งขึ้นครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Live Focus ด้วยกล้องหลักที่มีค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.5 การถ่ายหน้าชัดหลังเบลอก็ทำได้ดีทีเดียว ทั้งในสภาพแสงปกติและแสงน้อย รวมถึงระยะการถ่ายก็ง่ายขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้มิติแบบช่วง 2X ก็ตาม เอฟเฟกต์ละลายฉากหลังก็ช่วยให้ภาพดูมีลูกเล่นมากขึ้น และง่ายต่อการปรับทีหลังด้วย
วิดีโอที่ดีขึ้นกว่าเคย
ในส่วนของการบันทึกวิดีโอทาง Samsung ก็โดดเด่นเรื่องนี้มาเสมอ ๆ ทั้งในเรื่องของคุณภาพและความนิ่งของระบบกันสั่น บน Galaxy S10 และ S10+ นั้นสามารถบันทึกวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุดถึง 4K 60fps และสามารถบันทึกได้ยาวนานต่อเนื่องจนกว่าเม็มจะเต็มเลยด้วย ไม่ได้จำกัดที่ 5 นาทีแบบรุ่นก่อน นอกจากนี้ระบบกันสั่น OIS ก็สามารถใช้งานได้ถึงระดับ 4K 30fps อีกด้วย
ด้วยความที่รุ่นนี้เพิ่มกล้อง Ultra Wide มา การถ่ายวิดีโอแบบมุมกว้างคล้าย ๆ กับกล้อง Action ก็ทำได้ด้วยเช่นกัน บน S10 และ S10+ มาพร้อมกับโหมด Super Steady ที่ให้เราได้ถ่ายวิดีโอมุมกว้างพร้อมระบบกันสั่นขั้นเทพได้อีกด้วยครับ
กล้องหน้าใหม่โฟกัสไว เซลฟี่สวย
ในส่วนของกล้องหน้ารอบนี้ถือว่ามีการอัปเกรดขึ้นไปจากรุ่นเดิมอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เริ่มจากความละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาจาก 8 ล้านพิกเซลเป็น 10 ล้านพิกเซล f/1.9 มีระบบ Autofocus ถ่ายใกล้ ๆ ได้อย่างคมชัด พร้อมทั้งยังเพิ่มระบบโฟกัสแบบเดียวกับกล้องหลัง Dual Pixel Autofocus ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย
ในส่วนของกล้องที่เพิ่มเข้ามาของ S10+ นั้นอีกตัวจะเป็นกล้องสำหรับวัดระยะของภาพไว้ใช้งานโหมด Live Focus ได้เนียนตามากขึ้นเท่านั้น แต่บน S10 รุ่นปกติก็ทำได้เช่นกัน แต่ความเนียนก็จะต่างกันเล็กน้อยครับ
อย่างที่บอกไปว่ากล้องหน้าตัวที่ 2 นั้นเป็นกล้องวัดระยะ (Depth Camera) ไม่ใช่กล้อง Wide เพิ่มมาแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นในโหมดเซลฟี่ปกติ ทั้ง 2 รุ่นจะมีคุณภาพที่เท่ากันเป๊ะ ๆ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมบน S10 ปกติก็มี 2 ระดับความกว้างให้เลือกเช่นกัน เพราะตัวกล้องจริง ๆ จะมาพร้อมเลนส์มุมกว้างอยู่แล้ว แต่ระบบจะมีให้เลือกระหว่างมุมปกติ (ครอปเข้าไป) หรือมุมกว้างสำหรับหลายคน (คุณภาพจริง ๆ) ครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy S10+
แบตเตอรี่เยอะขึ้นมาจุใจ
ในเรื่องของแบตเตอรี่ รอบนี้มีการอัปเกรดแบตฯขึ้นมาได้อย่างน่าพอใจมาก ๆ เริ่มจาก Galaxy S10 รุ่นปกติก็ให้แบตฯมามากถึง 3400 mAh ส่วน Galaxy S10+ นั้นสูงไปถึง 4100 mAh กันเลยทีเดียว เรียกว่าเพิ่มความจุมาให้ใช้งานได้อย่างพอเพียงมากขึ้น เท่าที่ลองใช้งานมาจริง ๆ จัง ๆ บนรุ่น S10+ ก็บอกได้เลยว่า อึดขึ้นมาก เมื่อเทียบกับรุ่น S9+ สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ต้องห่วงเลยล่ะครับ
ระบบชาร์จไวยังเท่าเดิม เพิ่มเติมคือแบ่งปันได้
ในส่วนของระบบชาร์จของ Galaxy S10 และ S10+ ยังคงรองรับมาตรฐาน Fast Charge เดิมที่ 18W มองในยุคนี้อาจจะเรียกว่าชาร์จไวได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะด้วยแบตฯที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ด้วยแล้ว แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่มีรองรับเลยล่ะเนอะ อแดปเตอร์ก็ยังคงใช้รุ่นเก่าได้เลยตั้งแต่สมัย S7 นั่นแหละครับ รองรับระบบชาร์จไร้สายได้เช่นเคยด้วย
แต่ที่น่าสนใจก็คือระบบใหม่ที่ทาง Samsung เรียกว่า PowerShare นี่แหละครับ ระบบนี้เราคงเคยเห็นมาบ้างแล้วก็คือการที่ส่งไฟจาก S10 หรือ S10+ ไปให้อุปกรณ์อื่นที่รองรับชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi นั่นเอง ก่อนอื่นเราต้องไปเปิดตั้งค่าในแถบแจ้งเตือนกันก่อน เลือก PowerShare แล้วนำเอาอุปกรณ์มาแต่ที่ฝาหลังได้เลย
จะชาร์จมือถือด้วยกันก็ได้หรืออุปกรณ์เสริมที่รองรับชาร์จไร้สายก็ทำได้เช่นกัน ตรงนี้ดูมีประโยชน์สำหรับอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ มากกว่า อย่างเช่น Galaxy Watch หรือ Galaxy Buds เกิดแบตฯหมดขึ้นมากลางทาง ก็นำมาแปะกันเพื่อเพิ่มแบตฯให้กันได้ ส่วนมือถือนี่แอบใช้เวลาชาร์จกันนานหน่อยนะ
ราคาและรุ่นความจุ
ปิดท้ายกันที่ราคาและรุ่นความจุของ Galaxy S10 และ S10+ รอบนี้เปิดตัวมาหลายรุ่นความจุเลยทีเดียว สรุปราคาแบบเข้าใจง่ายตามนี้ละกันครับ
  • Galaxy S10 (8GB + 128GB) = 31,900 บาท
  • Galaxy S10+ (8GB + 128GB) = 35,900 บาท
  • Galaxy S10+ Ceramic (8GB + 512GB) = 44,900 บาท
  • Galaxy S10+ Ceramic (12GB + 1TB) = 55,900 บาท
สรุปให้เลยละกัน !
สำหรับ Galaxy S10 และ S10+ ในรอบนี้ก็ถือว่าเปิดตัวมาแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างจากรุ่นก่อนได้อย่างดี เริ่มด้วยดีไซน์ที่ปีที่แล้วอาจดูไม่หวือหวามากเท่าไหร่ แต่ปีนี้ปรับเปลี่ยนมาได้สวยงามและตรงใจเลยทีเดียวทั้งหน้าจอที่เต็มมากขึ้น ขอบไม่หนา ไม่มีติ่ง แสดงผลได้สวยงามแบบสุด ๆ กับจอใหม่ Dynamic Amoled สีสันใหม่ที่สวยขึ้น ขนาดและน้ำหนักที่ทำให้น่าจับถือใช้งานด้วยพร้อมนวัตกรรมระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอครั้งแรกของ Samsung สเปคที่หลายคนต้องการบนเรือธง Samsung ไม่เคยทำให้ผิดหวังจัดมาให้แบบครบครันทั้งหน่วยประมวลผลตัวใหม่สุดแรง หน่วยความจำและความจุมีให้เลือกกันมากมาย รวมถึงกล้องที่ดูจะเป็นจุดเด่นของสมาร์ทโฟนยุคนี้ก็ให้มาครบทั้งกล้องหลักคุณภาพสูง กล้องซูม หรือจะกล้อง Ultra Wide ก็เด่นไม่แพ้กัน รวม ๆ แล้ว Galaxy S10 และ S10+ รอบนี้ถือว่าให้ทุกอย่างมาได้ครบอย่างที่เรือธง Android ควรจะเป็นมาก ๆ ทั้งรูปลักษณ์ที่สวยงาม สเปคที่ตอบโจทย์การใช้งาน รวมถึงกล้องที่ใช้งานง่ายไว้ใจได้ ทั้งหมดนี้อยู่บน Galaxy S10 ทั้ง 2 รุ่นนี้แล้วครับ !!
จุดเด่น
  • หน้าจอ Dynamic Amoled แสดงผลได้สวยงาม มาก !
  • ตัวเครื่องวัสดุหรูหรา น้ำหนักเบา
  • สเปคเร็วและแรงตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
  • หน่วยความจำภายในมีให้เลือกเยอะ แถมรองรับ micro-SD ด้วย
  • แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ใช้งานได้ยาวนาน
  • กล้องหน้าเพิ่มระบบ Dual-Pixel ทำงานได้รวดเร็ว
  • กล้องหลัง 3 ตัวครบทุกมุมมอง ซอฟต์แวร์ฉลาดพึ่งพาได้
  • ระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultrasonic
  • กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
จุดสังเกต
  • ตัวเครื่องเก็บรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย
  • ปุ่ม Power วางตำแหน่งได้ไม่ดี เอื้อมไปกดได้ยาก

รีวิวโดย : เฮียแม็พ. TechXcite

ไม่มีความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.